โรคหนองในเทียม เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง โรคนี้สามารถแพร่เชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ การรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาของโรคหนองในเทียม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถป้องกัน และรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) คืออะไร?
เกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีลักษณะอาการคล้ายกับโรคหนองในแท้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมูกใส หรือหนองที่บริเวณอวัยวะเพศ โรคหนองในเทียมมักจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มักจะก่อให้เกิดการทำลายระบบอวัยวะสืบพันธุ์
![สาเหตุโรคหนองในเทียม](http://jaidum.com/wp-content/uploads/2024/03/2.สาเหตุโรคหนองในเทียม.png)
สาเหตุโรคหนองในเทียม
โรคหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน หรือโดยไม่สวมถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์ กับผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้หลายทาง เช่น ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก หรือแม้กระทั่งทางตา หากมีสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อกระเด็นใส่ รวมไปถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ โดยระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น โดยเพศชายมักจะพบประมาณ 1- 3 วัน และเพศหญิงที่ติดเชื้อ มักไม่แสดงอาการมาก เหมือนเพศชาย พบประมาณ 10 วัน
อาการโรคหนองในเทียม
จะแสดงอาการแตกต่างกันออกไปตามเพศ โดยมีลักษณะดังนี้
อาการในเพศชาย
- มีไข้ ไอ และรู้สึกเจ็บคอคอแห้ง
- ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
- มีมูกใส หรือขุ่นไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ ซึ่งไม่ใช่ปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ
- รอบๆ รูท่อปัสสาวะดูบวมแดง
- มีอาการระคายเคือง และคันบริเวณท่อปัสสาวะ
- มีอาการอักเสบที่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
- รู้สึกเจ็บ หรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ
- รู้สึกปวด หรือมีการบวมที่ลูกอัณฑะ
- มีหนองที่บริเวณทวารหนัก มีเลือดไหล
![อาการโรคหนองในเทียม](http://jaidum.com/wp-content/uploads/2024/03/3.อาการโรคหนองในเทียม.png)
อาการในเพศหญิง
- มีไข้ ไอ และรู้สึกเจ็บคอคอแห้ง
- ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
- มีตกขาวมากกว่าปกติ ตกขาวเป็นมูกปนหนอง มีกลิ่นเหม็น
- ประจำเดือนผิดปกติ
- รู้สึกเจ็บ หรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ
- รู้สึกคัน หรือแสบร้อนบริเวณรอบอวัยวะเพศ
- รู้สึกเจ็บท้องน้อย หรือเจ็บที่กระดูกเชิงกราน เวลามีประจำเดือน หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือบางรายมีเลือดออกช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
- มีหนองที่บริเวณทวารหนัก มีเลือดไหล
การรักษาโรคหนองในเทียม
รักษาให้หายได้โดยการทานยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) 1 กรัม ทานเพียงครั้งเดียว หรือ ยาดอกซี่ไซคลีน (Doxycycline) 100 มิลลิกรัม ทานวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7 วัน (ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ควรเป็นการสั่งยาโดยแพทย์ เพื่อป้องกันการใช้ชนิดยาไม่ตรงกับโรค/หลักการใช้ยาปฏิชีวนะ) ควรงดเพศสัมพันธ์ตั้งแต่สงสัยว่าติดโรคจนกระทั่งครบ 7 วันหลังจากที่รับประทานยาเม็ดสุดท้าย และคู่นอนควรต้องได้รับการตรวจรักษาที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เมื่อหายแล้ว ยังควรกลับไปตรวจซ้ำตามแพทย์นัด จนกว่าจะแน่ใจว่าหายสนิทในทุกตำแหน่งที่มีเพศสัมพันธ์
![การป้องกันโรคหนองในเทียม](http://jaidum.com/wp-content/uploads/2024/03/4.การป้องกันโรคหนองในเทียม.png)
การป้องกันโรคหนองในเทียม
- ใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งทางอวัยวะเพศ หรือทางทวารหนัก สามารถช่วยป้องกันหนองในเทียม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ถึง 99%
- ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชายหรือถุงครอบปาก (dental dam) ซึ่งมีลักษณะเป็นยางบางๆรูปสี่เหลี่ยมสำหรับผู้หญิงเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
- มีคู่นอนเพียงคนเดียว การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นหนองในเทียม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างภายในร่างกาย โดยเฉพาะในเพศหญิง เพราะจะเป็นการลดจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อช่องคลอด และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- เมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะต้องรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้ายแรง และควบคุมไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ตรวจสุขภาพ และตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โรคเริม น่ากลัวนะ ถ้าไม่ระวัง!
การรับรู้ และป้องกันโรคหนองในเทียมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และสามารถรักษาโรคให้หายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการของโรคหนองในเทียมควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมโดยไม่ละเลย