ถุงยางอนามัย ใช้ถูกต้อง ป้องกันโรค ป้องกันลูก

เมื่อเราพูดถึงสุขภาพ และความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ซึ่งทำให้มีการลดอัตราการตั้งครรภ์ที่ไม่คาดคิดลงไปอีกด้วย

การเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามันจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการเลือกซื้อถุงยางอนามัยควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น วัสดุที่ใช้ในการผลิต และมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้อง

ถุงยางอนามัย (Condom)

ถุงยางอนามัย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติ เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 ซึ่งผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาต จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และถุงยางอนามัยจะต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดไว้

ถุงยางอนามัยแต่ละชนิด มีความแตกต่างอย่างไรบ้าง?

  • ชนิดของถุงยางอนามัย ปัจจุบันเป็นที่นิยมอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
    • ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex Condom) 
    • ชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ (Polyurethane Condom)
  • ขนาดของถุงยางอนามัย มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 ขนาด คือ ตั้งแต่ 44 มิลลิเมตร จนถึง 56 มิลลิเมตร เช่น
    • ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 11-12 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
    • ถุงยางอนามัยขนาด 52 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 12-13 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
    • ถุงยางอนามัย ขนาด 54 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 13-14 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
    • ถุงยางอนามัยขนาด 56 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 14-15 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป)
  • ความบางของถุงยางอนามัย โดยทั่วไปถุงยางอนามัยจะมีความหนาตามมาตรฐานคือ 0.05 – 0.07 มม. ซึ่งในปัจุบันมีการผลิตถุงยางที่มีความบางเป็นพิเศษ เพียง 0.02 – 0.01 มม.  ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงสัมผัสที่แนบสนิทเหมือนไม่ได้ใส่
  • รูปทรงของถุงยางอนามัย มีทั้งแบบที่เป็นทรงกระบอกตรง และแบบลูกคลื่น 
  • ลักษณะก้นถุงยางอนามัย มีทั้งแบบเรียบ หรือมน และแบบที่เป็นกระเปาะ สำหรับเก็บน้ำอสุจิ
  • ผิวถุงยางอนามัย มีหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบที่เป็นผิวเรียบ และแบบผิวไม่เรียบ หรือผิวขรุขระ
  • สีสันของถุงยางอนามัย มีหลากหลายสีให้เลือก ทั้งแบบสีธรรมชาติ สีประกายรุ้ง และแบบเรืองแสงในที่มืด
  • กลิ่น และรส ของถุงยางอนามัย มีหลายกลิ่นหลายรสให้เลือกตามความชอบ
  • คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ  ของถุงยางอนามัย เช่น มีสารหล่อลื่น สารชะลอการหลั่ง สารฆ่าเชื้ออสุจิ และป้องกันโรคติดต่อ เป็นต้น

วิธีการเลือกใช้ถุงยางอนามัย

การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง และถูกวิธี  เพื่อความปลอดภัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ช่วยป้องกันความเสื่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม

  • ดูถุงยางอนามัย ต้องมีเครื่องหมาย อย. 
  • ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ โดยบรรจุภัณฑ์ของถุงยางอนามัยจะต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ฉีกขาด หากถุงยางหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ หากนำมาใช้งานจะมีโอกาสเกิดการฉีกขาดได้ง่ายขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ควรซื้อถุงยางอนามัยให้พอดีกับขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง ไม่ควรใช้ขนาดใหญ่ หรือคับจนเกินไป อาจทำให้ถุงยางแตก หรือหลุด ขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
  • ควรฉีกซองถุงยางอนามัยให้ตรงตามรอยที่กำหนดให้  ห้ามใช้ฟันกัดเพื่อฉีกซอง และระวังเล็บมือไปเกี่ยว หรือขีดข่วน เพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยขาดได้
  • ต้องสวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวเต็มที่ เพื่อป้องกันการหลุดขณะใช้ และควรถอนอวัยวะเพศชายออกเมื่อยังแข็งตัวอยู่  เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยหลุดออกตอนถอนตัวในขณะที่อวัยวะเพศอ่อนตัวลงแล้วนั่นเอง
  • ห้ามใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ  
  • หากมีกิจกรรมนานกว่า 30 นาที ควรเปลี่ยนถุงยางอันใหม่ 
  • ขณะเอาถุงยางอนามัยออกจากอวัยวะเพศให้ใช้ทิชชูจับทุกครั้ง ไม่ให้มือสัมผัสกับสารคัดหลั่งโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรค

ประโยชน์ของถุงยางอนามัย

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น เชื้อเอชไอวี โรคหนองใน และโรคซิฟิลิส เป็นต้น เพราะการรติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงของสารคัดหลั่ง และอวัยวะเพศ ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อโรคได้ง่าย สำหรับผู้หญิง การใช้ถุงยางอนามัยสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HPV ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
  • ป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม โดยป้องกันไม่ให้อสุจิเล็ดลอดเข้าไปในบริเวณช่องคลอดได้ ซึ่งการสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์จะช่วยในการคุมกำเนิดได้มากขึ้น ควรสวมถุงยางอนามัยตลอดเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ และควรสังเกตให้ดีก่อนว่าถุงยางอนามัยที่สวมอยู่นั้นรั่ว หรือชำรุดหรือไม่
  • ป้องกันการบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยมีส่วนผสมของสารหล่อลื่นในปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อใช้ขณะมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้ ทั้งนี้ถุงยางอนามัยสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นได้อีกด้วย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับถุงยางอนามัย

  • ถุงยางอนามัยมีอายุการใช้งานอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี ก่อนใช้ควรตรวจดูวันหมดอายุของถุงยางอนามัยอยู่เสมอ เนื่องจากสารหล่อลื่นที่อยู่ในซองถุงยางอนามัยนั้นอาจเสื่อมสภาพ สามารถดูได้ที่บนกล่อง หรือซองบรรจุภัณฑ์
  • ควรสวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเท่านั้น โดยก่อนใส่ให้บีบไล่อากาศปลายถุงออกก่อน เพราะอากาศที่อยู่บริเวณปลายถุงยางอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยแตก หรือฉีกขาดได้ง่าย
  • เมื่อเสร็จกิจแล้วให้ถอดถุงยางอนามัยออกขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ ควรถอดถุงยางอนามัยออกด้วยความระมัดระวัง ไม่สามารถนำมาใช้ต่อซ้ำได้ เนื่องจากถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาให้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
  • การสวมถุงยางอนามัย 2 ชั้น นอกจากไม่สามารถป้องกันการต้องครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมธ์ได้แลัว ยังทำให้ถุงยางอนามัยแตกง่ายขึ้นอีกด้วย
  • การใช้สารหล่อลื่นอื่นๆ เช่น น้ำมันมะพร้าว โลชั่น เบบี้ออยส์ วาสลีน สบู่เหลว ที่ไม่ใช่เจลหล่อลื่นจะทำให้ถุงยางอนามัยเกิดการฉีกขาดได้ง่ายในขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการใช้ถุงยางอนามัยได้ ดังนั้นควรใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของซิลิโคนเท่านั้น
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง  เพราะอาจเกิดการเสียดสีทำให้ถุงยางเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็ว หรือฉีกขาดได้
  • ไม่เก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อน หรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่เก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์ เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โรคเริม น่ากลัวนะ ถ้าไม่ระวัง!

เป็นหนองในแท้ ไม่รักษา ปล่อยหายเองได้ไหม

ในสังคมปัจจุบันการสนับสนุน และส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อสร้างสังคมที่มีความมั่นคง และสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น เราควรเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย และเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกครั้งที่มีการมีเพศสัมพันธ์ เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ๆ ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมอีกด้วย