โลนกับความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณอาจไม่รู้

โลนกับความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณอาจไม่รู้

โรคโลน (Pubic Lice หรือ Crab louse) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เหาอวัยวะเพศ” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของเหาในบริเวณขนรอบอวัยวะเพศ โดยเหานี้จะทำให้เกิดอาการคัน และระคายเคืองในบริเวณที่มีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อโลนจะเกิดจากการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า โรคโลนมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) บางชนิดที่สามารถแพร่กระจายได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

โลนกับความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณอาจไม่รู้

สาเหตุ และการแพร่กระจายของโรคโลน

โรคโลนเกิดจากการติดเชื้อของเหาที่มักอาศัยอยู่ในขนบริเวณอวัยวะเพศ โดยเหาพวกนี้จะดูดเลือดเป็นอาหาร ทำให้เกิดอาการคัน และระคายเคืองในบริเวณที่ถูกกัด และดูดเลือด เหาจะมีลักษณะตัวเล็กๆ ที่ตาเปล่าจะไม่ค่อยเห็น และมันจะมีการแพร่กระจายจากการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้ผ้าห่มหรือชุดชั้นในร่วมกับผู้ติดเชื้อ หรือแม้แต่การใช้ห้องน้ำร่วมกันในบางกรณี

Beefhunt

โลน และความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ถึงแม้ว่าโรคโลนจะไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในแง่ของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสเหมือนโรคอื่นๆ เช่น หนองใน (Gonorrhea) หรือเริม (Herpes) แต่การที่โลนแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อโลนมักจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน

  • การเปิดโอกาสให้เกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เนื่องจากการมีโลนอาจทำให้เกิดแผลหรือบาดแผลเล็กๆ บริเวณผิวหนังจากการคันหรือขีดข่วน การที่ผิวหนังมีแผลอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น เอชไอวี (HIV) หรือหนองใน (Gonorrhea)
  • การสัมผัสใกล้ชิดในช่วงมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีหลักในการแพร่กระจายของเหาอวัยวะเพศ ทำให้การสัมผัสกันโดยตรงระหว่างบุคคลที่มีเหาอวัยวะเพศอาจเป็นตัวกลางในการส่งผ่านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่อาจมีอยู่แล้ว
  • การติดเชื้อที่ซ่อนเร้น เนื่องจากผู้ติดเชื้อโรคโลนบางคนอาจไม่มีอาการหรืออาจไม่รู้ว่าตนเองมีเหา การที่โรคโลนถูกมองข้าม และไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจทำให้โรคทางเพศสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องถูกมองข้าม และไม่ได้รับการตรวจหาหรือรักษาทันเวลา
การรักษาโรคโลนpng

การรักษาโรคโลน

เมื่อพบว่ามีการติดเชื้อโลน ควรรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน การรักษาโรคโลนสามารถทำได้ดังนี้

  • การใช้ยาฆ่าเหา
    • กลุ่มเพอร์เมทริน (Permethrin) ใช้ทาบริเวณที่มีอาการคัน ห้ามใช้บริเวณใกล้ดวงตา
      กรณีที่เป็นยาชนิดที่ใช้แล้วต้องล้างออก เมื่อครบกำหนดเวลา จำเป็นต้องล้างออกให้สะอาด
    • กลุ่มมาลาไทออน (Malathion) ยารักษาโลน ชนิดโลชั่นหรืออีมัลชั่น สำหรับทาหนังศีรษะ ทาทิ้งไว้ให้ออกฤทธิ์ประมาณ 8-12 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยการสระผม
    • กลุ่มลินเดน (Lindane) มีฤทธิ์แรงที่สุด รูปแบบเป็นแชมพูกำจัดเหา หิด โลน ชะโลมบริเวณที่มีตัวโลนให้ทั่วทิ้งไว้ 4 นาที แล้วล้างออกทันที กลุ่มนี้จะไม่เหมาะกับเด็ก
      และสตรีช่วงให้นมบุตร
    • กลุ่มไอเวอร์เมคติน (Ivermectin) ยากลุ่มนี้มีการใช้รักษาโรคจากปริสิต เช่น เหา ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น มีทั้งแบบทา และแบบรับประทาน
  • การทำความสะอาดสิ่งของส่วนตัว
    • ซักเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และผ้าขนหนูที่ใช้ร่วมกับผู้ติดเชื้อในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิอย่างน้อย 50 องศาเซลเซียส แล้วนำไปอบหรือตากแดดให้แห้งสนิท
    • ของใช้ส่วนตัวที่ไม่สามารถซักล้างได้ เช่น หมอน หรือของเล่นที่สัมผัสร่างกาย ควรใส่ในถุงพลาสติกที่ปิดสนิท และเก็บไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์เพื่อให้เหาตาย
  • การโกนขนบริเวณที่ติดเชื้อ การโกนขนในบริเวณอวัยวะเพศอาจช่วยลดจำนวนเหา และไข่เหาที่ติดอยู่ แต่ไม่สามารถกำจัดเหาทั้งหมดได้ การใช้ยาฆ่าเหาร่วมด้วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การรักษาคู่สมรสหรือคู่ครอง หากพบว่ามีการติดเชื้อโลน ควรรักษาคู่สมรสหรือคู่ครองไปพร้อมกัน แม้ว่าจะยังไม่มีอาการปรากฏ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • การปรึกษาแพทย์ หากมีอาการคันอย่างรุนแรง หรือสงสัยว่ามีการติดเชื้อเพิ่มเติม เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียจากการเกา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และป้องกันโรคแทรกซ้อนว

วิธีการป้องกันโรคโลน และความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การป้องกันการติดเชื้อโลน และลดความเสี่ยงจากโรคทางเพศสัมพันธ์ทำได้หลายวิธีดังนี้

  • การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ถุงยางอนามัยในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโลนจากการสัมผัสผิวหนังโดยตรง
  • การรักษาความสะอาดส่วนบุคคล ควรทำความสะอาดร่างกาย และอวัยวะเพศเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าห่ม, เสื้อผ้า, หรือที่นอน
  • การตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ ควรตรวจสุขภาพ และทำการทดสอบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสทางเพศกับคู่ที่มีความเสี่ยง
  • การรักษาโลน หากพบว่าเริ่มมีอาการโลน ควรเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเหา และลดความเสี่ยงจากโรคทางเพศสัมพันธ์

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

เป็นหนองในแท้ ไม่รักษา ปล่อยหายเองได้ไหม

โรคเริม น่ากลัวนะ ถ้าไม่ระวัง!

โรคโลนอาจจะดูเหมือนเป็นปัญหาที่เล็กน้อย แต่ความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการติดเชื้อโลนอาจนำไปสู่การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่รุนแรงกว่า ดังนั้น การป้องกัน และรักษาโรคโลนอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม การรักษาความสะอาด การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาหลังจากนั้น

Similar Posts